ประกันภัยกับทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์

 

ช่วงนี้กูดูอยู่ระหว่างเรียนปริญญาโทใบที่สอง ที่มหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง ระหว่างที่เรียนอยู่ทำให้นึกถึงทฤษฎีหนึ่งขึ้นมา ชื่อว่าทฤษฎี Asymmetric Information หรือถ้าจะให้พูดเป็นภาษาไทยก็คือ ทฤษฎีเรื่องความไม่เท่าเทียมกันของข้อมูลที่ผู้ซื้อมีและที่ผู้ขายมี

 

ทฤษฎี Asymmetric Information นี้สามารถส่งให้เกิดผลเสียร้ายแรงต่อตลาด โดยอาจทำให้ตลาดล่ม (Market Failure) ได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าเราลองเอาทฤษฎีนี้มาวิเคราะห์ตลาดของผลิตภัณฑ์ประกันภัย จะทำให้เราได้เห็นอะไรน่าสนใจหลาย ๆ อย่าง และเข้าใจผลิตภัณฑ์การเงินหลายอย่างได้มากขึ้นอย่างดีทีเดียว

 

ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า Asymmetric Information นั้น ส่งผลให้เกิดอะไรขึ้น

 

กูดูอยากให้คิดเล่น ๆ ว่าถ้าวันนี้เรากำลังจะซื้ออะไรสักอย่าง เพื่อน ๆ คิดว่า เป็นไปได้ไหมที่ผู้รู้และผู้ขายจะมีความรู้ในสิ่งที่กำลังจะทำการซื้อขายอย่างเท่าเทียมกัน น่าจะเป็นไปได้อยากใช่ไหมครับ ไอ้ความแตกต่างของการมีข้อมูลตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดประเด็นที่เราจะต้องเอามาพิจารณาอยู่ 2 อย่าง คือ

 

1. Adverse Selection

 

เป็นลักษณะที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่ง มีข้อมูลน้อยกว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง โดยในวงการประกันนั้น มีแนวโน้มที่ตัวแทนประกันมีแนวโน้มที่จะรู้ข้อมูลของผลิตภัณฑ์มากกว่าผู้ซื้อ ไม่ว่าจะเป็นความคุ้มครอง แบบประกัน ค่านายหน้า แคมเปญจน์การตลาดของบริษัท ซึ่งหลาย ๆ อย่างเป็นข้อมูลแอบแฝงที่ตัวแทนประกันไม่ได้แจ้งให้ลูกค้าทราบ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ลูกค้าไม่ได้สามารถรับทราบได้ทั้งหมด

 

กูดูอยากให้คิดต่ออีกสักนิดว่า ถ้าเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ เป็นตัวแทนประกันขีวิต แล้วประกันแบบหนึ่งมีค่านายหน้า 35% กับอีกแบบหนึ่งมีค่านายหน้า 2% แต่ถ้าลำดับให้ดีแล้ว ลูกค้าเหมาะกับประกันแบบหลังมากกว่าแบบแรก ในฐานะตัวแทนเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ จะตัดสินใจนำเสนอแบบไหน แหม่...เป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะน้อยไป งั้นลองดูเป็นตัวเลขสักหน่อย ถ้าลูกค้าต้องจ่ายเบี้ยประกันเท่ากันที่ 1 ล้านบาท ค่านายหน้าแบบแรก 350,000 บาท และค่านายหน้าแบบหลัง 20,000 บาท ระหว่างค่านายหน้า 350,000 กับ 20,000 บาท เพื่อน ๆ จะยังตัดสินใจนำเสนอแบบหลังอยู่ไหมครับ

 

2. Moral Hazard

 

ในมุมกลับกัน ในส่วนของลูกค้าที่ขอทำประกันก็มีข้อมูลส่วนตัวของตัวเอง เช่น การเจ็บป่วย โรคประจำตัว นิสัยการกินและการใช้ชีวิตในอดีต ซึ่งทั้งหมดอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการเจ็บป่วย ประสบอุบัติเหตุ หรือเสียชีวิตทั้งสิ้น ซึ่งลูกค้าก็อาจจะเลือกไม่เปิดเผยข้อมูลบางอย่างเช่นเดียวกั

 

นอกจากนี้ หลังจากทำประกันแล้ว ลูกค้าอาจเลือกที่จะใช้ชีวิตให้เสี่ยงกว่าเดิม ไม่ดูแลสุขภาพ เที่ยวกลางคืน ทำให้สุขภาพทรุดโทรม และเกิดการเรียกร้องสินไหมที่มากขึ้นกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้บริษัทประกันขาดทุนก็ได้ ซึ่ง Moral Hazard นี้ เกิดจากการขัดกันของเป้าหมายของผู้รับประกันและผู้ทำประกัน

 

โลกไม่ได้ร้าย

 

จากที่ร่ำที่เรียนมา ทั้งสองปัญหาที่เล่าข้างต้นมีทางที่จะแก้ไข ป้องกัน และบรรเทาผลกระทบจากทั้งสองอย่างได้ นั่นก็คือ การส่งสัญญาณ (Signaling) และ การคัดกรอง (Screening)

 

การส่งสัญญาณ


เพื่อให้แน่ใจได้ว่าผู้ที่มีข้อมูลมากกว่าจะไม่เอาเปรียบผู้ที่มีข้อมูลน้อยกว่า ผู้ที่มีข้อมูลมากกว่าสามารถส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจได้ ซึ่งเห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นหลาย ๆ อย่างในอุตสาหกรรม เช่น

 

1. Freelook
 

เพื่อให้เกิดความสบายใจ ตัวแทนสามารถส่งสัญญาณโดยการแจ้งลูกค้าถึงสิทธิ์ดังกล่าว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในเงื่อนไขการประกันที่ชี้แจงไว้ให้ลูกค้าฟัง เมื่อลูกค้าได้รับกรมธรรม์แล้วสามารถศึกษาข้อมูลในกรมธรรม์ของตนเองได้ 15 วัน สำหรับกรมธรรม์ที่ขายผ่านช่องทางปกติ และ 30 วัน สำหรับกรมธรรม์ที่ขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ หากศึกษาข้อมูลแล้วไม่พอใจเงื่อนไขในกรมธรรม์ สามารถขอยกเลิกกรมธรรม์ได้โดยการขายประกันในช่องทางปกตินั้น ลูกค้าสามารถขอยกเลิกได้โดยมีค่าใช้จ่ายเป็นค่าขอยกเลิก 500 บาท และค่าตรวจสุขภาพ (ถ้ามี) แต่ถ้าเป็นช่องทางโทรศัพท์ สามารถขอยกเลิกได้โดยได้รับเบี้ยประกันภัยคืนเต็มจำนวน

 

2. แจ้งให้ทราบถึงผลประโยชน์ที่ตัวแทนได้รับและการอาจเกิดประโยชน์ทับซ้อน


ตัวแทนอาจแจ้งลูกค้าก่อนว่าในการเสนอแบบประกันนี้ อาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้น ซึ่งลูกค้าที่ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าว มีแนวโน้มที่จะสอบถามข้อมูลอื่น ๆ เพิ่มเติมจากตัวแทนมากขึ้น ส่งผลให้ลูกค้ามีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น

 

การคัดกรอง

 

ในอีกมุมหนึ่ง บริษัทประกันสามารถออกแบบประกันที่คัดกรองกลุ่มลูกค้าได้ โดยการทำให้ประกันมี ค่าความเสียหายส่วนแรกหรือ Deductible การทำประกันแบบมีค่าความเสียหายส่วนแรกนั้น จะคัดกรองลูกค้าให้กับบริษัทประกันในเบื้องต้น โดยให้ลูกค้าเป็นผู้จ่ายค่าเสียหายส่วนแรกเอง ยกตัวอย่างเช่น แบบประกัน Infinite Care ของบริษัท เอไอเอ จำกัด แบบประกันที่ให้ความคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยแบบเหมา ๆ เรียกว่าสามารถซื้อแล้วเข้าโรงพยาบาลในไทยได้ชิว ๆ มีทุนประกันสำหรับค่ารักษาพยาบาลแบบเหมา ๆ 60 ล้านบาท (บางรายการแยกค่าห้อง) ถ้าป่วยเป็นมะเร็งก็สามารถเลือกรักษาแบบ Target Therapy ที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้ ที่สำคัญคุ้มครองทั่วโลกไม่เฉพาะในประเทศไทย แถมมีวงเงินผู้ป่วยนอกให้ด้วยเบี้ยประกันแสนถูก ปกป้องกันให้แต็มที่

 

แบบประกันของเอไอเอตัวนี้มีการออกแบบประกันแบบ Infinite Care โดยใช้หลักการทางเศรษฐศาสตร์ คือ การ Screening เพื่อช่วยในการคัดกรองลูกค้า โดยให้ลูกค้าวิเคราะห์ความเสี่ยงตัวเอง และสามารถเลือกประกันแบบที่ไม่มีค่าความเสียหายส่วนแรกหรือแบบที่มีค่าความเสียหายส่วนแรก 100,000 บาท และ 300,000 บาทก็ได้

 

ดังนั้น คนที่ดูแลสุขภาพดีสามารถเลือกทุนประกัน 60 ล้านบาท ที่มีค่าความเสียหายส่วนแรกได้ หากมีการดูแลสุขภาพที่ดี ผู้เอาประกันอาจะเลือกแบบมีค่าความเสียหาย 100,000 บาท หรือ 300,000 บาทได้โดยจ่ายเบี้ยถูกกว่าราคาแบบไม่มีค่าความเสียหายส่วนแรก 30-50% แต่หากผู้เอาประกันรู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงด้านสุขภาพสูง ผู้เอาประกันก็จะขอเอาประกันภัยในแบบที่ไม่มีค่าความเสียหายส่วนแรก ซึ่งเบี้ยประกันแพงกว่า และแน่นอนว่าคนที่เลือกแบบมีค่าความเสียหายก็จะยังดูแลสุขภาพตัวเอง ลดปัญหาเรื่อง Moral Hazard ได้ตามหลักเศรษฐศาสตร์

 

เอ๊ะ!!! อย่างนี้บริษัทใหญ่ ๆ โกงผู้บริโภคหรือเปล่านะ??

 

คำตอบคือ ไม่ครับ ลองคิดดูนะครับ ถ้าบริษัทประกันมีเฉพาะแบบไม่มีค่าความเสียหายส่วนแรก อาจทำให้บริษัทประกันมีอัตราการเคลมสูง และเบี้ยประกันสูงขึ้นได้ในอนาคต แต่ถ้ามีการคัดกรองก่อน เบี้ยประกันของลูกค้าแต่ละกลุ่มก็จะยุติธรรมกับคนโดยรวมมากขึ้นครับ กล่าวคือ คนที่รักษาสุขภาพก็ได้เบี้ยถูก คนที่ไม่รักษาสุขภาพก็ได้เบี้ยแพง ซึ่งความยุติธรรมนี้ทำให้ตลาดอยู่ได้ และคนที่ดูแลสุขภาพก็ไม่เสียประโยชน์ ซึ่งจริง ๆ หลักการนี้ก็ปรับใช้ได้กับประกันทุกแบบไม่เฉพาะแบบนี้นะครับ แปลว่าอะไร คิดเล่น ๆ ก็คือ ประกันควรมีเบี้ยประกันที่เหมาะสมกับความคุ้มครองและอัตราการเคลมครับ

 

เป็นยังไงบ้างครับ กับการเอาทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์มาวิเคราะห์ตลาดประกัน สรุปง่าย ๆ เลยละกันครับ ถ้าอยากทำประกัน อยากให้ลองพิจารณาทำกับตัวแทนที่ยินดีให้ข้อมูลและไว้ใจได้ เห็นประโยชน์ของเรามากกว่าของตัวเอง ถ้าหาใครไม่เจอก็เจ้ฮวยเลยครับ คลิกลิงค์ได้เลยจ้า